[PANTIP] Review ทริปวัยรุ่นพาเที่ยว “ไต้หวัน” ด้วยตัวเองครั้งแรก ไม่ยาก และ ไม่ต้องใช้งบเยอะ

บทความรีวิวทริปไต้หวันจากเว็บบอร์ดอันดับหนึ่งของประเทศไทยเลยก็ว่าได้  ในครั้งนี้ผมดันมีความเสี้ยนอยากจะไปไต้หวันบ้าง  ก็มันเห็นน้องที่มหาลัยแบคแพคกันไปบ่อยมากในช่วงปิดเทอม  แต่ผมดันเข้าวัยทำงานแล้ว  ก็ต้องสะสมรีวิวเก็บไว้อ่านเพื่อวันที่ว่างต้องจัดกับเค้าบ้างซักประเทศ
https://pantip.com/topic/33978116

ครั้งนี้ก็ดันไปเจอกระทู้น่าสนใจใน pantip.com เช่นเคยอย่างหลายๆประเทศ  และครั้งนี้ก็ได้คุณเจ้าของกระทู้ "Ochin_Mchin" ที่ได้เขียนเรื่องราวในกระทู้ "Review ทริปวัยรุ่นพาเที่ยว “ไต้หวัน” ด้วยตัวเองครั้งแรก ไม่ยาก และ ไม่ต้องใช้งบเยอะ" ให้ผมได้เก็บรักฉันไว้ในใจเธอก่อน  ฉันยังไม่พร้อมจะเริ่ม... ออกเดินทาง




     สวัสดีทุกๆ คนนะครับ วันนี้กลับมารีวิวอีกครั้งกับทริปล่าสุดที่พึ่งจบไป รีวิวนี้ผมจะพาบินไปเที่ยวที่ไต้หวัน ประเทศที่ยิ่งได้หาข้อมูล ยิ่งรู้สึกว่าเป็นประเทศที่น่าไปเที่ยวมาก และอยากแนะนำว่าคุณต้องหาโอกาสไปเที่ยวที่ไต้หวันซักครั้งแล้วคุณจะชอบเหมือนผมและหลายๆ คนที่ได้เคยไปเยือนที่ไต้หวันมา

     ทริปนี้ ก็เป็นการเที่ยวเที่ยว สไตล์วัยรุ่นเที่ยว แนวไม่ต้องใช้งบเยอะ ไม่ต้องมีเงินเยอะ ก็ไปเที่ยวตามกันได้ เราบิน Lowcost นอน Hostel เน้นประหยัดเรื่องที่พักและค่าตั๋วเครื่องบิน แต่เรากินเที่ยวกันเต็มที่ครับ เท่าที่เวลาจะเอื้อให้เรา ฮ่าๆ ทั้งทริปใช้จ่ายไปประมาณ 13,099 บาท (รวมค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ , ค่าที่พัก 3 คืน และค่ากินเที่ยว ค่าเดินทาง ทุกอย่างครับ) ล่างๆ จะมีสรุปค่าใช้จ่ายไว้ให้


     เราได้มีโอกาส เดินทางไปหลายสถานที่ด้วยกันครับ  ไม่ว่าจะเป็น ทะเลสาบสุริยันจันทรา(Sun Moon lake) , อุทยานเย่หลิว (Yehliu) , จิ่วเฟิ่น(Jiufen)  ,วัดหลงซาน  (Longshan) ,ขึ้นเขาไปถ่ายรูปตึกไทเป 101 ที่เขาเซี่ยงซาน (Elephant Mountain)  ,ตลาดกลางคืนกงก่วน (Gongguan Night Market) ,ตลาดกลางคืนซือหลิน (Shilin Night Market) ,ตลาดซีเหมิน( Ximen) และตลาดปลาไทเป เดี๋ยวรายละเอียดแต่ละที่ ติดตามได้ในรีวิวเลยนะครับ ได้มีการบอกการเดินทางไว้ด้วย  และรีวิวนี้ก็เหมือนๆ เดิมกับทุกรีวิวที่ผมเคยเขียน คือ เป็นรีวิวตอนเดียวจบเลยนะครับ อาจจะยาวหน่อยนะ ^^


สำหรับใครที่ ชอบสไตล์การท่องเที่ยวและเขียนรีวิวของผมสามารถติดตามได้อีกทางที่ 
Fanpage : https://www.facebook.com/MJourneyPrabin
ผมมีโอกาสได้เดินทางอยู่เรื่อยๆ ครับ จะมารีวิวให้ติดตามกันบ่อยๆครับ ^^


     การเดินทางไปไต้หวันในปัจจุบันนี้ต้องบอกเลยว่าไปได้ง่าย และไม่ต้องใช้งบเยอะครับ เพราะว่าตอนนี้มี สายการบินต้นทุนต่ำมาเปิดบินตรงเส้นทาง กรุงเทพ ดอนเมือง - ไทเป ไต้หวัน แล้ว โดยมีทั้ง Tiger air Taiwan (พี่เสือ) และ V air (พี่หมี) ทำให้เดียวนี้ค่าตั๋วเครื่องบินถูกลง เพราะ 2 สายการบินนี้เค้าขยันทำโปรฯ ออกมาเรียกลูกค้าอยู่เรื่อยๆครับ


     อย่างทริปนี้ ผมสอยตั๋วโปรฯ ของ พี่เสือ Tiger air Taiwan มาได้ในราคาไปกลับ ราคาไปกลับ 1,600 บาท (รวมภาษีแล้ว) และก็บวกค่าตัดบัตรอีก 450 บาทต่อคน รวมแล้วสำหรับค่าตั๋วไปกลับ กรุงเทพ - ไทเป ทริปนี้ ก็จะเป็น 2,050 บาท ถูกมากๆ เห็นราคานี้กดจองเลย ไม่ต้องคิดครับ ตอนนั้นยังไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับไต้หวันอยู่ในหัวเลย รู้อย่างเดียวคืออยากไป และโปรมาต้องรีบจัด ไม่งั้นหมดจะเสียดายทีหลังเอา และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของทริปนี้ครับ

Update ตั้งแต่ 1 ส.ค. 2559 เป็นต้นไป ไต้หวันยกเว้นวีซ่าให้กับคนไทยครับ

มาเริ่มต้นการเดินทางกันเลยครับ 28/05/2015
     วันนี้เรามีบินไฟล์ท 20.25 น. ครับ ช่วงบ่าย ก็รีบบึ่งรถมาสนามบินดอนเมือง และพอถึงก็แวะเอาของลงที่อาคารผู้โดยสารกันก่อนเพราะที่จอดรถฟรีจะอยู่ไกลนะครับ จากนั้นก็ขับรถไปจอดที่อาคารจอดรถ ได้เลย

     สมาชิกพร้อมหน้า ก็ไปจัดการหาเคาน์เตอร์เช็คอินกันครับ เราบินกับ Tiger air Taiwan เคาน์เตอร์จะอยู่ แถวที่ 5 อยู่ข้างๆ กับเคาน์เตอร์เช็คอินของ ไทยสมายล์ เลย จัดการเช็คอินและโหลดกระเป๋าเรียบร้อย ทริปนี้ก่อนมาเราได้ทำการซื้อน้ำหนักกระเป๋าสำหรับโหลด 30 โล ก็แชร์ น้ำหนักกันเอาครับ จะได้ประหยัดๆ ^^

     ทริปนี้มีโอกาส ได้ใช้บริการของ Tiger air Taiwan ที่มาเปิดบินตรงเส้นทาง กรุงเทพฯ(สนามบินดอนเมือง) สู่ ไทเป(สนามบินเถาหยวน อาคาร 1) เมื่อปลายปีที่แล้วนี่เองครับ ใช้เวลาบินประมาณ3.5 ชั่วโมง

     เดี๋ยวมารู้จักกับสายการบินนี้กันซักนิดหนึง ไว้เป็นข้อมูล เผื่อใครได้มีโอกาสไปใช้บริการนะครับ

Tiger air Taiwan เป็นสายการบินต้นทุนต่ำ (Lowcost airline)
     1.ราคาตั๋วจะไม่รวมบริการเสริมอื่นๆ เช่น เลือกที่นั่ง อาหาร และสัมภาระโหลดใต้ท้องเครื่อง บริการเสริมซื้อหรือไม่ซื้อก็ได้
     2.สามารถถือกระเป๋าขึ้นเครื่องได้ 2 ใบ น้ำหนักรวมกันไม่เกิน 10 กิโล มีการเช็คน้ำหนักที่เคาน์เตอร์เช็คอินด้วย
     3.น้ำหนักกระเป๋าโหลดใต้ท้องเครื่อง สามารถแชร์กันได้ โหลดหลายใบได้ แต่น้ำหนักรวมต้องไม่เกินน้ำหนักที่ได้ซื้อไว้
     4.ใช้เครื่องบินรุ่น Airbus A320 ที่นั่งแบบ 3 3 (รุ่นเดียวกับของแอร์เอเชียครับ)
     5.Counter Check-in

     - สนามบินดอนเมือง อยู่แถวที่ 5 (ข้างไทยสมายล์)
     - สนามบินเถาหยวน แถวที่ 2 อาคาร 1

พูดถึงเรื่องโปรโมชั่น
     เป็นอีกสายการบินหนึงครับที่ ผมรู้สึกว่ากล้าเล่นราคาดี ปล่อยโปรมาเรื่อยๆ นะครับ ทั้งบินฟรีขาไป หรือฟรีขากลับ(จ่ายแค่ค่าภาษีสนามบิน) หรืออาจจะเห็นไปกลับราคา สามพันกว่าบาท อันนี้ก็เห็นบ่อยครับ ถ้าใครเจอไปกลับต่ำกว่า 3 พัน อันนี้ถือว่าถูกครับ ถ้าเจอก็จัดได้เลย

     โอเค ก็ได้รู้จัก Tiger air Taiwan กันคร่าวๆ แล้ว หลังจากที่เช็คอินเสร็จก็เตรียมพร้อมขึ้นเครื่อง ออกบินสู่ประเทศไต้หวันครับ ไฟล์ทดึกก็ไม่มีอะไรมากครับ บนเครื่องนอนยาวไปเลย อาหารอะไรก็ไม่ได้สั่งกินกันหรอกครับ เพราะจัดมาเรียบร้อยก่อนขึ้นเครื่องกันแล้ววว โอเคไปกันเลยครับ ไปเจอกันที่ไต้หวันเลยนะ^^

     นั่ง เครื่องประมาณ 3.5 ชั่วโมง ประมาณตีหนึ่ง เราก็บินมาถึงเมืองไทเป ไต้หวันกันแล้วครับ เครื่องลงที่สนามบินเถาหยวน อาคาร 1 กว่าจะผ่าน ตม. รับกระเป๋าอะไรเสร็จก็เกือบจะตีสอง ออกมาก็มาหาที่นั่งพัก หาที่ชาร์ทแบตมือถือ สนามบินที่นี่ดีมากครับ มีจุดให้ชาร์ทไฟเยอะมาก ทั้งเต้าเสียบแบบ USB และแบบเป็นปลั๊ก มี free Wifi ด้วย แต่แอร์ที่สนามบินตอนกลางคืนเย็นมาก ใครจะมานอนที่สนามบินพกผ้าห่มบางๆ มาด้วยก็ดีครับ อากาศมันหนาวมาก แต่พวกผมยังไม่ทันได้นอนหรอกครับ เพราะเรามีกำหนดนั่งรถบัสออกจากสนามบินรอบ 4.30 น.



มาดูวิธีการเดินทางจากสนามบิน เข้าเมืองไทเป กันครับ
     ผ่าน ตม. รับกระเป๋าเรียบร้อยแล้วให้เดินตามป้าย “Bus to city” และ “Bus to High Speed Rail” มาได้เลยครับ

     1.นั่งรถบัสต่อเดียวตรงยาวเข้าเมืองเลย ของ Kuo-Kuang Motor Transport ถ้าไปช่วงดึกเคาน์เตอร์ขายตั๋วจะปิด สามารถหยอดเงินซื้อตั๋วจากเครื่องตรงนั้นได้เลย(ตามในรูป) รถมีทั้งคืนครับ ค่ารถประมาณ 125 TWD นั่งรถสุดสายไปลงที่อาคาร Taipei main station  ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30-60 นาที แล้วแต่สภาพการจราจรด้วย ***ผมใช้วิธีนี้ครับ ถูกสุด หลับยาวได้เลย ไม่ต้องลากกระเป๋าหลายรอบ

     2.นั่งรถบัส แล้วไปต่อรถไฟความเร็วสูงเข้าเมือง โดยนั่งรถบัส U-Bus ไปลงที่สถานี HSR Taoyuan (ราคา 30 TWD ใช้เวลาประมาณ 20 นาที) จากนั้นขึ้นรถไฟ ความเร็วสูง HSR ไปลงที่สถานี HSR Taipei Station (ราคา 160 TWD ใช้เวลา 20 นาที)

รถบัสพามาถึง Taipei main station เร็วมากครับประมาณ 30 นาทีเองเพราะตอนเช้าถนนรถโล่ง ผมก็กำลังจะหลับเลย อ้าว ถึงแล้วเหรอ ฮ่าๆ

     Taipei main station ก็จะเป็นเหมือนจุดศูนย์กลางการเดินทางไปยังที่ต่างๆ นะครับ มีทั้งรถไฟใต้ดิน รถไฟความเร็วสูง และ สถานีรถบัสต่างๆ ก็จะเชื่อม เดินถึงกันได้หมดเลยที่สถานีนี้ครับ

     มาถึงก็จัดการซื้อบัตร EasyCard ก่อนเลยครับ ค่าบัตร 100 TWD และเติมเงินเพิ่มอีก 500 TWD  (บัตรใช้เสร็จสามารถคืนได้มีหักค่าบัตร 20 TWD) บัตรนี้ก็จะเป็นเหมือนบัตรเติมเงินสามารถใช้กับขนส่งพวกรถไฟ รถบัสได้ และใช้แตะซื้อของตามร้านสะดวกซื้อพวกเซเว่นได้ครับ (คล้ายๆ กับบัตร EZlink ที่สิงคโปร์ , บัตร Octopus ที่ฮ่องกง)

     เราตัดสินใจว่าเราจะเอากระเป๋าไปฝากกันไว้ที่พักก่อน ค่อยออกเดินทางไปทะเลสาบสุริยันจันทรา (Sun Moon lake) ซึ่งที่พักเราอยู่ย่านซีเหมินติง นั่งรถไฟใต้ดินไปลง Ximen station สถานีเดียวก็ถึง เดี๋ยวรีวิวที่พักจะอยู่ด้านล่างนะครับ หลังกลับมาจากเที่ยวทะเลสาบสุริยันจันทรา

     ตอนโผล่ออกมาจากสถานี  Ximen station บรรยากาศ เงียบกริบ นี่มันเมืองร้างชัดๆ บรรยากาศยังกับในหนังที่โดนแวมไพร์ บุก ผู้คนตายทั้งเมืองอะไรยังงั้นเลยครับ ตอนนี้ก็เกือบๆ เจ็ดโมงแล้วนะครับ แต่คนมันไปไหนหมด เราก็ลากกระเป๋าไปฝากที่พัก จากนั้นก็แวะหามื้อเช้ากินกันก่อนครับ เจอเปิดอยู่ร้านหนึงพอดี ตรงซอยใกล้ๆ ที่พัก

     ที่ร้านที่เรากินมื้อเช้านี่แทบจะจีนล้วนเลยครับ ภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย ก็เลยเน้นภาษามือสื่อสารกันเลยทีนี้ ตรงนั้นมีรูปอาหารอยู่ ก็เลยชี้ๆ เอาเลย แต่น้ำดันไม่มีรูปให้ดูครับ ประเด็นคืออยากกินชาไข่มุข แต่ภาษาอังกฤษมันเรียกว่าอะไรหว่า ฮ่าๆ ก็เลยได้มาเป็นชาเย็นครับ 555 ร้านอาหารแนวมื้อเช้า สไตล์ไต้หวัน ค่อนข้างน่ากินเลยทีเดียวนะครับ เห็นหลายร้านเลย เมนู น้ำชา นม อะไรต่างๆ และพวกขนมปัง อะไรเค้าดูน่ากินดีครับ กินเสร็จก็ออกเดินทางต่อกันเลยย
แก้ไขข้อความเมื่อ 27 กรกฎาคม


ทะเลสาบสุริยันจันทรา(Sun Moon lake) 29/05/2015
ขั้นตอนการเดินทาง
     - นั่งรถไฟความเร็วสูง HSR จาก Taipei main station  ไปลงที่สถานี Taichung station(765 TWD แบบจองที่นั่ง) จากนั้นนั่งรถบัสต่อเข้าไปที่ Sun Moon lake (อันนี้ซื้อเป็นแพ็กเกจ รวมไปกลับ 680 TWD)


     พอกลับมาถึง Taipei main station  เราก็มุ่งตรงไปซื้อตั๋ว  รถไฟความเร็วสูง HSR กัน ครับ ภายในสถานีมีป้ายต่างๆ บอกชัดเจนนะครับ ไม่ต้องกลัวหาไม่เจอ โดยที่ซื้อตั๋วมีทั้งแบบซื้อตั๋วที่ตู้กด และซื้อที่เคาน์เตอร์กับพนักงานได้เลย ทั้ง 2 วิธีสามารถใช้ทั้งเงินสด หรือบัตรเครดิตจ่ายก็ได้ครับ พวกผมเลือกไปซื้อที่เคาน์เตอร์กับพนักงาน และเลือกตั๋วเป็นแบบจองที่นั่ง(จะแพงกว่าตั๋วแบบไม่จองที่นั่งนิดหน่อย ประมาณ 20-30 TWD) จากนั้นก็ไปขึ้นรถไฟกันเลย ไปรอขึ้นตามโบกี้ที่มีระบุไว้ในตั๋วได้เลย สำหรับใครที่จองที่นั่งไว้ ใครที่ไม่ได้จองก็จะมีระบุไว้ครับว่าสามารถนั่งโบกี้ไหนได้ถึงโบกี้ไหนได้ บ้าง อันนี้ขึ้นไปต้องรีบหาที่นั่งหน่อย ไม่งั้นเผื่อคนเยอะไม่มีที่นั่งครับ

     นั่งรถไฟมาได้ประมาณ 1 ชั่วโมงเราก็มาถึง Taichung station บน รถไฟมีป้ายไฟ และเสียงประกาศบอกอยู่ครับ อันนี้ไม่ต้องกลัวนั่งเลยสถานี ฮ่าๆ จากนั้นเราต้องนั่งรถบัสต่อไปที่ ทะเลสาบสุริยันจันทรา(Sun Moon lake) เดินตามป้ายทางออกที่ 5 ไป Bus station ได้เลย พอไปถึงก็จะเจอเคาน์เตอร์ขายตั๋ว ตรงนี้มีตั๋วหลากหลายให้เลือกมากครับ เป็นแบบแพ็คเก็จ หรือ จะรถบัสไปกลับอย่างเดียวก็ได้ พวกผมเลือกซื้อเป็นแพ็คเก็จราคา 680 TWD ครับ ราคานี้จะรวม รถบัสไปกลับ Taichung station - Sun Moon lake , ล่องเรือที่ Sun Moon lake , นั่งกระเช้า และนั่งรถบัสรอบ Sun Moon lake ครับ ซึ่งจะประหยัดไปได้มากเพราะ ถ้าซื้อทั้งหมดนี้แยก จะราคา 1164 TWD (ซื้อเป็นแพ็คเก็จประหยัดไปได้ 484 TWD)

     เรานั่งรถบัสมาประมาณ 1.30 ชั่วโมง ก้ถึงที่ Sun Moon lake ประมาณ เกือบๆสิบโมง รถบัสจะมาจอดตรงหน้า Sun Moon lake service station ครับ เป็นสุดสายที่นั่งมาเลย เพราะคนลงทั้งคัน พอลงรถมาจะมี จนท มาฉีกคูปองล่องเรือจากตั๋วแพ็คเก็จที่เราซื้อมา แล้วเอาเป็นตั๋วล่องเรือจริงๆ ให้เรา จากนั้นเราก็เดินย้อนลงไปขึ้นเรือที่ท่าเรือเลย ตอนนั่งรถบัสมาจะมองเห็นท่าเรืออยู่ครับ


     พอเดินไป ก่อนถึงท่าเรือ จะมี จนท เดินมาหาเราเลย เค้าเห็นตั๋วในมือเราที่เราถือ เค้าก็ฉีกหางตั๋วไป และแต้มตราแดงๆ ที่แขนให้เรา จากนั้นเราก็ไม่ต้องใช้ตั๋วละ ใช้ตราแดงๆ นี้ไปล่องเรือได้เลย กี่รอบก็ได้ โดยจุดจอดเรือสำหรับเที่ยวจะมี 2 จุดนะครับ สามารถลง แล้วเที่ยวจนพอใจ แล้วค่อยมารอขึ้นเรือลำถัดไปได้ เรือมาเรื่อยๆ ครับ เดี๋ยวเราไปรอขึ้นเรือเพื่อไปเที่ยวจุดแรกกันเลยครับ

     พอเรือมาจอดจุดแรก ลงเรือยังไม่ทันจะเดินขึ้นฝั่ง ฝนก็เทลงมาเลย ห่อกล้องแทบไม่ทัน ไม่มีใครถือร่มมาด้วยซักคน ฮ่าๆ อุส่าห์ พกมาจากเมืองไทยแต่ดันใส่กระเป๋าฝากไว้ที่พักซะนี่ ก็รีบวิ่งหลบฝนขึ้นไปด้านบนกันครับ ฝนจะตกๆ หยุดๆ ครับตรงนี้

     สถานที่แวะชมสำหรับจุดแรกนี้ ก็จะเป็นวัด Syuanguang ที่อยู่ข้างบนเขา เราจะต้องเดินขึ้นบันไดไป เดินขึ้นไปก็เห็นกลุ่มนักท่องเที่ยวยืนต่อแถวถ่ายรูปกับก้อนหิน ที่มีตัวอักษรภาษาจีนสลักอยู่ ตอนนั้นเริ่มสงสัยแล้วว่าหินก้อนนั้นมันสลักคำว่าอะไร ทำไมคนต่อแถวถ่ายรูปเยอะจัง พอกลับมาหาข้อมูล ก็ได้ทราบว่า อ้อ ก็สลักคำว่า Sun Moon lake ชื่อทะเลสาบนี่แหละครับ แต่สลักเป็นภาษาจีน ถ่ายรูปตรงนี้จะได้วิวฉากหลังเป็นทะเลสาบ สวยเลยทีเดียวครับ

     เดี๋ยวเราไปไหว้พระด้านในกันครับ คงรอถ่ายรูปกับหินก้อนนี้ไม่ไหว วัดนี้จะเป็นที่เก็บอัฐิธาตุส่วนหนึง ของพระที่คิดว่าทุกคนน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี พระองค์นี้ได้ไปอัญเชิญพระไตรปิฎก มาจากชมพูทวีป พอจะนึกออกแล้วใช่ไหมครับ ที่ผมกำลังพูดถึงอยู่ คือ พระถังซัมจั๋ง นั่นเองครับ นับว่าเป็นบุญมากครับที่มีโอกาสได้มาไหว้ อัฐิธาตุ ถึงที่นี่

     จากนั้นยังมีอีกหนึ่งสิ่งครับ ถ้ามาถึงที่นี่แล้วต้องลอง นั่นคือไข่ต้มใบชา ครับ(จริงๆ มีขายอยู่ทั่วไป ในร้านเซเว่นก็มีครับ ฮ่าๆ) ร้านขายก็อยู่ตรงบันใดทางขึ้นไปวัดเลยครับ ไข่ต้มใบชา จะดูคล้ายๆ กับไข่พะโล้เลยครับ รสชาดก็จะเค็มๆ หน่อย โดยรวมโอเคครับ ^^ ดีขากลับลงมา ตรงนี้คนไม่เยอะละครับฝนก็หยุดตกแล้ว ก็เลยได้นั่งกินกันแบบชิวๆ

     ไปรอขึ้นเรือไปเที่ยวจุดถัดไปกันครับ จุดนี้จะเป็นจุดที่เราจะไปขึ้นกระเช้า พอไปถึงท่าเรือฝนก็ตกลงมาอีกแล้ววครับ ตกๆ หยุดๆ แต่รอบนี้คือมาแบบแรง พากันรีบวิ่งเลยครับ เพราะไม่มีใครพกร่มติดตัวมาด้วย ขึ้นท่านี้ได้ก็เลยไปหาซื้อร่มกันคนละอัน จากนั้นแวะหาข้าวกินก่อน เป็นร้านที่อยู่ตรงซอยแรกเลยครับซ้ายมือ แถวนี้มีของขายตลอดทางนะครับ ระหว่างทางเดินไปกระเช้า

สำหรับการเดินจากท่าเรือที่ 2 ไปขึ้นกระเช้า

             พอมาถึงท่าเรือ มองไปทางซ้าย จะมองเห็นกระเช้าอยู่ไกลๆ ก็สามารถเดินตามไปทางนั้นได้เลยนะครับ มีป้ายบอกเป็นระยะ ไม่หลงแน่นอนครับ แต่แอบเดินไกลนิดหนึง แต่ถ้าวันอากาศดีๆ ก็คงเดินได้แบบชิลล์ เลยครับ

     พอไปถึงอาคารขึ้นกระเช้า เดินขึ้นบันใดไปชั้นบนได้เลยครับ จะเจอจุดทางเข้า จนท จะทำการฉีกบัตร เป็นบัตรที่เราซื้อเหมามานั่นแหละครับ คือมันจะรวมกระเช้าตรงนี้ด้วย ขึ้นกระเช้าไปตอนนี้มองไม่เห็นอะไรเลยครับ เพราะฝนตกลงมาหนักมาก แต่ก็สนุกตื่นเต้นดีกับการขึ้นกระเช้า นั่งไปได้ไม่นานครับ ก็จะถึงจุดที่ต้องลง ตรงจุดนี้ก็จะเป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวหนึงนะครับ เป็นหมู่บ้านวัฒนธรรมดั้งเดิม (Formosan Aboriginal Culture Village ) ต้องเสียค่าเข้าเพิ่ม เพราะตั๋วที่เรามีไม่ได้รวมครับ แต่เนื่องด้วยฝนตกหนักก็เลยตัดสินใจไม่เข้าไปข้างในครับ เดินเล่น ดูของร้านอาหารตรงนี้ซักพัก แล้วไปนั่งกระเช้ากลับ และไปขึ้นเรือกลับไปที่ท่าเรือหลัก จุดแรกที่เราขึ้นเรือกันครับ


วัดกวนอู            
     มาถึงท่าเรือหลัก(จุดแรกที่เราขึ้น) เดี๋ยวเราจะไปนั่งรถบัสเที่ยวรอบทะเลสาบกันครับ เดินกลับไปที่ตรงจุดขึ้นรถบัสครับ เป็นที่ๆ เราลงรถบัสเมื่อเช้า แต่จะเป็นบัสคนละคัน ตรงอาคาร ตรงจุดขึ้นรถบัสจะเหมือนศูนย์บริการนักท่องเที่ยวครับ ตรงนี้จะมีตารางเวลาของรถบัสบอก และมี free wifi ด้วย พอรถบัสมา เราก็ใช้คูปองที่มีโชว์ให้คนขับรถดูได้เลยตอนขึ้น ซึ่งพวกเราตั้งใจว่าจะนั่งไปแค่ตรงวัดกวนอู ครับ คงไม่ถึงกับนั่งรอบทะเลสาบ ตอนนั้นเหมือนต้องรีบเที่ยวแล้ว เพราะมันเย็นแล้วและเราต้องกลับเข้าไปเที่ยวไทเปกันต่อ


     นั่งบัสมาไม่นาน ก็ถึงวัดกวนอูครับ พอเริ่มมองเห็นตัววัดก็กดกริ่งได้เลย ตรงนี้ทัวร์ลงค่อนข้างเยอะครับ ดีที่ตอนพวกผมถึง ทัวร์ประมาณบัส 4-5 คันกำลังรวมตัวกันขึ้นรถบัสกลับพอดี ก็เลยโชคดีที่ไม่ต้องเจอคนเยอะตอนไหว้พระในวัด มาถึงวัดกวนอู อากาศดีมากเลยครับ ฟ้าเปิดพอดี แดดแอบแรงไปหน่อย แต่ดีครับ จะได้ถ่ายรูปง่ายๆ

     วัดกวนอูนี้ก่อสร้างได้ค่อนข้างใหญ่โต และมีรายละเอียดมากๆ ครับ บริเวณด้านหน้าก็เป็นทะเลสาบสุริยันจันทรา วิวสวยงามมากๆ ยิ่งช่วงเย็นอากาศชิลล์ดีครับ น่าเช่าจักรยานมาปั่นเล่นมาก ใครมีเวลาเยอะๆ มานอนที่ทะเลสาบสุริยันจันทราซักคืนครับ และหาเช่าจักรยานปั่นชมบรรยากาศ ที่ทะเลสาบสุริยันจันทรานี้ติด 1 ใน 10 เส้นทางปั่นจักรยาน ที่สวยที่สุดในโลกเลยนะครับ ใครมีเวลาเที่ยวเยอะๆ มาลองดูครับ


     เราพากันไหว้พระและเดินสำรวจวัดจนไปถึงชั้นบนสุดครับ เดินไปทางด้านหลังจะมีบันใดขึ้นไปทีละชั้น ด้านบนสามารถมองเห็นวิวได้สวยงามกว่าข้างล่างมาก อีกทั้งไม่ค่อยมีคนเดินขึ้นมา ด้านบนก็จะมีเป็นเหมือนประตู อยู่ด้านหลังวัด ซึ่งทำให้รู้สึกว่าวัดนี้สร้างได้ใหญ่โตและสวยงามมากๆ  ใครที่มา ทะเลสาบสุริยันจันทรา อย่าลืมแวะมาเที่ยวและไหว้พระที่นี่กันนะครับ


     เป็นอันจบทริปสำหรับการเที่ยว ทะเลสาบสุริยันจันทรา ใน 1 วันแล้วครับ เราใช้คูปองทุกใบที่มีในแพ็คเก็จตั๋วที่เราซื้อมา เรียกได้ว่าคุ้มค่าและประหยัดไปได้เยอะครับ ถ้าซื้อเป็นแบบ แพ็คเก็จรวมมา แล้วก็ได้เวลาเดินทางกลับไปไทเปกันครับ การเดินทางเหมือนตอนมาเลยครับ มายังไงก็กลับอย่างนั้น

โดยเริ่มต้น
     1.นั่งรถบัสจากหน้าวัดกวนอูกลับไปที่จุดขึ้นรถบัส ตอนขามาที่เราลงแหละนะครับ
     2.นั่งรถบัสจากจุดขึ้นรถบัส ไปที่ สถานีรถไฟความเร็วสูง HSR ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง อันนี้ก็หลับยาวไปเลยครับ จุดจอดคนลงเยอะๆ นั่นแหละครับ แสดงว่าถึงแล้วแต่ก่อนถึงก็จะมองเห็นเป็นสถานีรถไฟเลยครับ
     3.นั่งรถไฟความเร็วสูง HSR จากสถานี ไปลงที่สถานี Taipei main station ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครับ


     อันนี้แนะนำนิดหนึงนะครับตอนซื้อตั๋วให้ซื้อเป็นแบบระบุที่นั่งเลย จะเสียเงินเพิ่มประมาณ 30 40 บาท จากตั๋วแบบไม่ระบุที่นั่ง จะแยกโบกี้กันชัดเจนครับระหว่างตั๋วที่จองที่นั่งมากับไม่ได้จอง พวกผมดันซื้อมาแบบไม่จองที่นั่ง กลับช่วงค่ำพอดี คนเยอะมากครับ ตอนขึ้นรถไฟผมดันแย่งที่นั่งไม่ทันเค้า 555 เลยต้องไปยืนตรงจุดเชื่อมต่อระหว่างโบกี้เอาครับ รอให้คนลงสถานีถัดไปลง ค่อยไปนั่งครับ แต่นานๆ จะจอดทีนะครับ เพราะรถไฟความเร็วสูงจะตรงยาวไปเลย จอดไม่กี่สถานีครับ สังเกตว่ามีผู้ร่วมชะตากรรม ไม่มีที่นั่งแบบผมกันอีกหลายคนอยู่ครับ ที่มายืนตรงจุดเชื่อมต่อนี้ แต่เพื่อนที่มาด้วยกันอีก 3 คนนั่งได้ทันครับ ^^


     พอมาถึงสถานี Taipei main station เดี๋ยวเราไป Check-in เข้าที่พักกันก่อนครับ โดยต่อรถไฟสายสีแดงไปอีก 1 สถานี ไปลงที่ Ximen station Exit 6 ครับ พอเดินออกมารู้สึก โอ้โห คนเยอะมาก คนละบรรยากาศกับเมื่อเช้าที่มาเลย คนที่เคยมาเที่ยวที่ไต้หวันบอกว่า ย่านซีเหมินติงนี้เปรียบได้กับย่านสยามบ้านเรานะครับ คือเป็นแหล่งวัยรุ่น พวกผมออกมาเจอนี่รู้สึกตื่นตาตื่นใจกันสุดๆ ระหว่างเดินไปที่พักก็มีร้านค้าของขายตลอดทางครับ


มาถึงที่พักของทริปนี้ครับ Meander Taipei Hostel 
     เราเลือกพักที่ Meander Taipei Hostel ย่านซีเหมินติง เป็นแบบห้อง 4 คน เตียง 2 ชั้น ห้องน้ำในตัวครับ มีอาหารเช้าให้ เราพักที่นี่ทั้ง 3 คืน ราคา 11,008 บาท (สำหรับ3 คืน) การแล้วตกคนละ 2,752 บาท และที่นี่มี free Wifi ทุกห้องเลยนะครับ

การเดินทาง 
     มาลงที่สถานี Ximen station รถไฟใต้ดินสายสีแดง Exit 6 เพียง 1 สถานีจาก สถานี Taipei main station
ส่วนแผนที่การเดินทางสามารถดูได้ที่เว็บไซต์ของที่พักโดยตรงเลยนะครับ Link : http://www.meander.com.tw/

     ที่พักที่นี่จะเป็นลักษณะ แบบพักรวมห้องแบบ Dom นะครับ โดยชั้นล่างจะเป็นพื้นที่ส่วนรวมให้ใช้งานร่วมกันครับ มีคอมฯ มีทีวี มีโต๊ะให้นั่งเล่นครับ บางคืนจะเปิดหนังให้ดูด้วย มีคนมานั่งดูกันเต็มเลยครับ ถ้าใครชอบเดินทางแนว  Backpack และชอบการพูดคุยหาเพื่อนใหม่ๆ ที่นี่เหมาะมากๆ ครับ


     Staff ที่นี่ก็โอเคมากครับ มีหลายคนเลย ยังวัยรุ่นๆ กันอยู่เลยครับ ทุกคนคือภาษาอังกฤษดีมาก เหมือนเป็นพวกนักเรียนอินเตอร์เลย ลักษณะการพูดการแต่งตัวดูมีสไตล์ ให้การดูแลดีครับ ต้องการหรืออยากได้คำแนะนำอะไรถามได้ตลอด

     สำหรับแขกที่พักที่นี่ ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนอะไรพวกนี้แขกต้องทำเองนะครับ เค้าจะมีผ้าวางไว้ให้ที่เตียง ส่วนเวลา Check-out ก็ต้องถอดแล้วเอาไปวางในถุงด้านนอกให้เค้าครับ ออกแนวช่วยเหลือตัวเอง

     มาถึงอาหารเช้าที่นี่ก็จะเป็นแบบง่ายๆ ครับ ขนมปังกล้วย ผลไม้ กาแฟ นม อะไรพวกนี้ครับ หรือใครอยากกินเป็นข้าวเช้าแบบสไตล์ไต้หวันเลยออกไปกินด้านนอกได้ครับ ระหว่างทางเดินไปสถานีรถไฟ มีหลายร้าน ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ ก็มีเยอะครับ

     โอเค เข้าที่พัก เก็บของอาบน้ำกันเรียบร้อย ก็เกือบๆ 4 ทุ่มแล้วครับ ออกไปเดินย่านซีเหมินติงและไปหาของกินกันดีกว่า เย็นนี้เราตั้งใจจัดหนักเป็บบุฟเฟ่ สุกี้ ชาบูครับ ที่ไต้หวันถือเป็นอีกเมนูเด็นที่มาแล้วต้องลองชิมนะครับ ร้านมีเยอะมากครับ เห็นได้ทั่วไป ระหว่างทางเดินจากที่พักมาสถานีรถไฟก็ผ่าน 2 ร้าน แต่ที่เราตั้งใจจะไปกิน เป็น บุฟเฟ่ ครับ เรามาร์คพิกัดมาแล้ว เดี๋ยวไปเดินหากันครับ ฮ่าๆ

     ไปเริ่มต้นจากสถานี Ximen station รถไฟใต้ดินสายสีแดง Exit 6 แล้วหันขวา จะเจอถนนทางเดินหลักของตลาดนะครับ เดินไปเรื่อยๆ จนเจอแยกแรกที่มีร้าน KFC อยู่ซ้ายมือ จากนั้นเลี้ยวซ้ายตรงแยกนั้นได้เลยครับ เดินตางไปอีกเรื่อยๆ จนเจอแยกที่มีป้าย KTV มองขวาบนของตึกฝั่งตรงข้ามกับแยกตรงนั้นนะครับ ร้านสุกี้ก็จะอยู่ ข้างๆ กับป้าย KTV ตรงนี้นี่แหละครับ เป็นร้านป้ายแดงๆ ต้องขึ้นบันใดไปขั้น 2 ครับร้านอยู่ด้านบน


ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในลองค์นี้เลยนะครับ พวกผมก็ตามรีวิวนี้มาครับ ^^    http://goo.gl/pFj3ja
-    ร้านเปิดตั้งแต่ 11.30 – 05.00 น. กินกันทั้งวันทั้งคืนได้เลยครับ 
-    นั่งได้ 2 ชม ครับ


     สำหรับบุฟเฟ่ สุกี้ ชาบู มื้อนี้เรียกได้ว่าจัดเต็มกันมากครับ ซีฟู๊ดเค้าจัดเต็มมาก กุ้ง หอย ปู ปลา มีเนื้อปลาฉลามให้ลองชิมกันด้วยนะ บุปเฟ่ รวมเบียร์ไต้หวันด้วย และไอติมเค้านี่จัดเต็มมากๆ มี 4 ตู้เรียงยาวไปเลย เป็นไอติมอย่างดีด้วยMovenpick และ Haagen-Dazs เลย

     แต่ชาบูที่ไต้หวัน เสียอย่างเดียวครับ(สำหรับผมนะ) คือมันต้องผสมน้ำจิ้มเอาเอง ร้านเค้าจะมีส่วนผสมต่างๆ เอาไว้ให้ แต่คือผมผสมไม่เป็น ฮ่าๆ แนะนำว่าใครมาไต้หวันให้พกน้ำจิ้มสุกี้มาด้วยครับ จะได้กินแบบถูกปากคนไทยมากขึ้นครับ เพราะวัตถุดิบที่นี่เค้ามาเต็มอยู่แล้วครับ

     สำหรับมื้อนี้ กินเสร็จกันประมาณเกือบตีหนึ่งครับโดนค่าเสียหายไปคนละ 680 TWD (ประมาณ 7 ร้อยกว่าบาทไทย) แต่บอกเลยว่ารู้สึกคุ้มมากๆ เป็นมื้อที่เราสนุกสนานในการกินมากเลยครับ ร้านนี้ใครไปเที่ยวกลับมาดึกๆ ก็มาแวะกินได้นะครับร้านมันปิดตีห้า ไปเที่ยวผับกลับมาก็มาแวะกินได้ ฮ่าๆ ช่วงตีหนึ่งที่พวกผมออกมาคนก็ยังแน่นร้านอยู่เลยนะ โอเค อิ่มท้องกันเรียบร้อย เดินกลับที่พักไปนอนละนะคร๊าบบบ


30/05/2015  มาเริ่มกันต่อสำหรับการเที่ยววันที่ 2  

     หลังจากที่เมื่อคืนพากันไปจัดหนัก Buffet shabu กลับมาถึงห้องตีหนึ่งกว่าๆ แต่วันนี้พวกเราก็ยังคงพากันตื่นแต่เช้าครับ เพราะวันนี้มีแพลนไว้จะออกไปเที่ยวนอกเมืองไทเป กัน รีบพากันอาบน้ำแต่งตัว ลงมากินอาหารเช้าที่ทางที่พักจัดไว้ให้ครับ ก็เป็นอาหารง่ายๆ ทั่วไป พวก ขนมปัง ผลไม้ ชา กาแฟ อะไรพวกนี้ครับ กินเสร็จก็พากันรีบออกเดินทาง กว่าจะออกจากที่พักได้ก็ประมาณ แปดโมงครับ

     ระหว่างทางเดินไปสถานีรถบัส เจอร้านซูชิ และก็พวกอาหารญี่ปุ่น ร้านนี้เหมือนจะมีหลายสาขามากเลยครับ เห็นหลายที่เลย รู้สึกเหมือนอยู่ญี่ปุ่นมากๆ ร้านนี้ ก็พากันซื้ออะไรไว้ไปกินครับ ข้าวเช้าไม่น่าจะอยู่ท้อง ฮ่าๆ


สำหรับที่แรกที่เราจะไปวันนี้คือ อุทยานเย่หลิว (Yehliu)

การเดินทาง
      1.นั่งรถไฟฟ้ามาลงที่ Taipei Main Station จากนั้นเดินออกไปที่ทางออก Z3
     2.เมื่อ ออกจากทางออก Z3 มาจะเจออาคาร Taipei West Bus Station Terminal A เราจะมาขึ้นรถบัสไป อุทยานเย่หลิว ที่นี่ครับ โดยนั่งรถสาย 1815 ครับ ค่ารถประมาณ 80 TWD แต่พวกผมไม่ได้ซื้อตั๋วนะครับ ใช้บัตรแตะ ขึ้นมาได้เลย
     3.นั่งรถไปประมาณชั่วโมงกว่าๆ พอรถเริ่มขึ้นเขาๆ หน่อยก็เริ่มสังเกตป้ายได้เลยนะครับ จะเจอป้ายตามในรูปอยู่ทางฝั่งขวามือก็ลงได้เลยมีคนลงเยอะอยู่ครับตรงนี้
     4.พอลงรถมาแล้วก็เดินตามทางไปเรื่อยๆ เลยครับ เค้าจะทาสีทางเดินไว้ ยาวไปจนถึง อุทยานเย่หลิว เลยครับไม่มีหลงแน่นอน
     รถบัสที่นั่งมา เป็นรถแอร์นะครับ แต่ไม่เย็นเลย ร้อนมาก ขับไปซักพักก็เริ่มรู้สึกเหมือนจะเมารถ ดีนะรถถึงก่อน เกือบอ๊วกกก ^^

     พอไปถึง อุทยานเย่หลิว (Yehliu) ก็จัดการไปซื้อตั๋วเข้ากันก่อนครับ โดยเสียค่าเข้าคนละ 80 TWD โดยก่อนทางเข้ามีเป็นเหมือนอาคารบริการนักท่องเที่ยวนะครับ จะมี พวกร้านขายของที่ระลึก ร้านขายพวกเครื่องดื่ม มีLocker เล็กๆ ให้ฝากของด้วยครับ ส่วนชั้นบนก็จะมีห้องแอร์ให้นั่งเล่นได้ มี Wifi ให้ใช้ฟรีด้วยครับ พวกผมพอขึ้นมาเจอ Free wifi ก็จัดการนั่งอัพ Social กันก่อนครับ ตากแอร์แก้ร้อนกันด้วยครับ เพราะทริปนี้ไม่ได้ซื้อ Sim Netหรือเช่า Pocket wifi กันเลย พอเจอ   Wifi ก็เลยต้องนั่งจัดกันซะหน่อยครับ


     จากนั้นเข้าไปเดินเที่ยวด้านใน อุทยาน กันเลย ที่นี่ค่อนข้างทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวเลยครับ มีทัวร์มาลงค่อนข้างเยอะ สถานที่ทางเดินอะไรก็ทำไว้ค่อนข้างโอเคเลยครับ คนพิการที่นั่งรถเข็นแบบไฟฟ้ามาก็สามารมาเที่ยวที่นี่ได้เองเลยนะครับ เค้าทำทางไว้ดีเลยครับ แต่วันนี้คนค่อนข้างเยอะครับ

     อุทยานเย่หลิว (Yehliu) ก็เหมือนเป็นอุทยานหินที่เหมือนโดนน้ำทะเลกัดเซาะจนเกิดเป็นหินรูปทรงต่างๆ หลายรูปครับ แต่ที่เป็นไฮไลท์ ของที่นี่เลยที่คนต่อแถวถ่ายรูปกันก็จะเป็นหินรูปทรง มงกุฏราชินี ครับ แต่พวกผมนี่ขอบายเลยครับไม่ได้ไปต่อแถวถ่ายรูปกับเค้าหรอกครับ อากาศวันนี้ค่อนข้างร้อนเลยครับ แต่ดีที่ติดทะเลเลยมีลมพัดมาตลอดเวลา

     เดินเที่ยวไปเรื่อยๆ จะมีร้านข้างเครื่องดื่มโดยมีสินค้าขายดีเป็น mango smoothie ครับ ก็เลยจัดมาลองชิมซะหน่อย แก้วละ 120 TWD ครับ รสชาดนี่เหมือนกินเนื้อมะม่วงปั่นเลยครับ ก็อร่อยพอแก้ร้อนได้ และตรงนี้ มีห้องน้ำให้เข้าด้วยครับ ตรงภูเขาเล็กๆ ตรงนี้ สามารถเดินขึ้นไปชมวิวได้

     อยู่เที่ยวที่นี่ได้พักใหญ่ เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว ต้องรีบไปที่ต่อไปกันแล้วครับ เพราะต้องนั่งรถต่อไปอีกประมาณ 1.30 ชั่วโมงเพื่อไปที่ จิ่วเฟิ่นครับ

การเดินทางจาก อุทยานเย่หลิว (Yehliu) ไป จิ่วเฟิ่น (Jiufen)



     1.กลับไปรอรถบัสตรงป้าย จากจุดรอรถบัสฝั่งตรงข้ามที่เราลงเมื่อเช้าครับ เพื่อรถสาย 790 เพื่อไปต่อรถอีกทีที่เมือง จีหลง (Keelung)

     2.พอถึงเมือง จีหลง (Keelung) ตรงแถวท่าเรือ สังเกตุเห็นสะพานลอยตามรูป เห็นแล้วลงได้เลยครับ จากนั้นขึ้นสะพานลองไปฝั่งตรงข้าม ตรง Family Mart เพื่อรอขึ้นรถสาย 788 ไปลงที่ จิ่วเฟิ่น (Jiufen)

     3.พอขึ้นรถบัสสาย 788 แล้ว อีกประมาณ 1 ชั่วโมงก็จะถึง จิ่วเฟิ่น ครับโดยก่อนถึงจะสังเกตง่ายๆ มันจะเป็นช่วงขึ้นเขาครับ และจะมองเห็นกลุ่มบ้านอาหารที่อยู่บนเขา สังเกตุจุดลงรถบัสจะเห็นหลังคาวัดเหมือนตามในรูป ก็ลงได้เลยครับ จากนั้น เดินขึ้นไปอีกหน่อยก็จะเจอซอยทางเข้าตลาด คนจะเยอะๆ ครับ อยู่ข้างๆ ร้านเซเว่น จากนั้นก็เดินเที่ยวกันได้เลย

     พอมาถึงที่นี่เดินเข้าซอยมา ก็เจอของกินเต็มเลยครับร้านมีตลาด 2 ข้างทางที่เดินมาเลย คนค่อนข้างเยอะครับ วันนี้ตั้งใจจะมาชิมหลายๆ อย่างที่เห็นในริวิวที่อ่าน เค้าบอกมาแล้วต้องลองชิมดูนะ

     อย่างแรกที่ลองชิมเลยคือไอติม ที่จะไอติมเค้าจะไม่เหมือนบ้านเรานะครับ คือเค้าจะวางแผ่นแป้งก่อนจากนั้นเอาถั่วตัดบดโรย แล้วก็เอาไอติมวาง จากนั้นก็ห่อให้ครับ สำหรับผมคืออร่อยเลย สงสัยกำลังหิวด้วยเพราะบ่ายสองบ่ายสามแล้วยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกันเลย ก็กะว่าจะมาหาของกินที่จิ่วเฟิ่นนี่แหละครับ ระหว่างซื้อไอติม บอกแม่ค้าว่าขอถ่ายรูปหน่อย แม่ค้าก็จัดแจงให้ถ่านแบบ ดูเป็นงานมาก ครับ ฮ่าๆ ผมนี่แอบยิ่มเลยอะ


     จากนั้นก็เดินหาร้านนั่งกินข้าวครับ ที่นี่ก็ร้านเยอะเหมือนกัน ระหว่างทางหาร้านกินข้าวก็ซื้อของกินชิมไปกันตลอดทางครับ และแล้วเราก็เจอร้านสำหรับนั่งกินข้าวครับ ร้านนี้ขายหลายอย่างเลย ราคาโอเคทั่วไปครับ ไม่ได้แพง สั่งมา 4 5 อย่าง แต่ก็กินกันไม่หมดเพราะได้ซื้อขนมกินมาระหว่างทางก่อนจะมาถึงร้านนี้แล้ว กินเสร็จก็เลยเอามือถือมาเปิดรูปร้านกาแฟให้เด็กในร้านดู คือจะถามว่าร้านนี้มันอยู่ตรงไหนเหรอ เด็กในร้านก็บอกนี่เลย มันเดินไปตรงซอยตรงข้ามร้านนี่แหละ

     เดินลงซอยมาไม่ไกล เราก็เจอมุมถ่ายรูปร้านที่เราจะมาถ่ายรูปแล้วครับ แต่เค้าบอกว่าให้ขึ้นไปถ่ายบนตึกร้านที่อยู่ตรงนั้น พวกผมก็โอเค เดี๋ยวเราขึ้นไปนั่งด้านบน แล้วสั่งอะไรมากินซักหน่อย เพื่อที่จะได้ถ่ายรูปแล้วก็นั่งชมวิว ชิลล์ๆ ก็เลยสั่งน้ำส้ม น้ำมะนาวแล้วก็เบียร์มา พอเอาน้ำผลไม้มาเสริฟ มองเห็นหน้าตาแล้ว ก็จะจะนึกรสชาดออก และพอชิมเท่านั้นแหละครับ มันเป็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย ไม่อร่อยเอามากๆ แก้วละ 160 NTD (ประมาณ 174 บาท) 555 ราคาเท่าเบียร์เลย ต้องกล้ำกลืนฝืนทนกินจนหมดครับ 555 กินไปก็บ่นไป เค้าทำน้ำรสชาดแบบนี้ออกมาได้ยังไง แล้วก็บอกตัวเองว่ามันแก้วละ 160 นะ ดูด ดูด ดูดให้หมด 555 แต่วิวที่นี่ดีจริงๆ ครับ มองเห็นภูเขา แล้วก็ทะเล ตรงนั้น ลมก็พัดมาเย็นๆ รู้สึกชิลล์จริงๆ ครับตรงนี้ ถึงน้ำผลไม้จะไม่อร่อยเอาซะเลยก็เถอะ ใครมาที่นี่แนะนำสั่งเบียร์กินเถอะครับ 555


     นั่งอยู่ร้านน้ำชานี่จนตกเย็นแล้วก็ได้เวลากลับไทเป กันแล้วครับ ระหว่างเดินกลับก็นึกได้ว่ามีเต้าหู้เหม็นอีกอย่างหนึงทั่งไม่ได้ลองกิน ก็เลยแวะซื้อร้านตรงทางเข้าซอย กะชิมให้รู้รสชาดซะหน่อย ดูรายการทีวีมา เค้าบอกว่า กลิ่นมันเหม็นๆ นะ แต่รสชาดคือได้อยู่ ผมซื้อมาก็บอกกับสมาชิกที่ไปด้วยกันแบบนี้เลยครับ แต่ผมชิมดูเป็นคนแรก พอเอาเข้าปากเท่านั้นแหละครับ คุณพระ! ผมนี่คายแทบไม่ทันเลยครับ กลิ่นมันยังไงรสชาดทมันอย่างนั้นเลยครับ ผมยังนึกถึงรสชาดนั้นตอนเข้ามาอยู่ในปากผมได้อยู่เลยนะครับ มันเป็นรสชาดที่ไม่สามารถที่จะเคี้ยวและฝืนกลืนลงไปได้ ต้องคายทิ้งอย่างเดียวเลยครับ สำหรับผม


     เดี๋ยวเราเดินทางกลับไทเปกันครับ กลับคนละอย่างกับตอนมานะครับ ขากลับนี่จะตรงยาวไปไทเปเลย พอออกจากซอยตรงทางเข้าข้างเซเว่น ให้เลี้ยวขวา เดินขึ้นเนินไปอีกนิดเดียว แล้วจะเจอป้ายรถบัสครับ จากนั้น ก็รอรถบัส สาย 1062 กลับไปไทเป ได้เลยครับ พอรถมาก็ใช้บัตรแตะขึ้นได้เลย รถสายนี้เค้าจะให้ขึ้นแค่ตาม จำนวนคนนั่งนะครับ ไม่ให้ยืน นั่งรถไปประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงไทเปครับ (เวลาแล้วแต่สภาพการจราจรด้วยนะครับ)


     โดยรถจะมาจอดที่ใกล้ๆสถานี  MRT Zhongxiao Fuxing, พอรถจอดให้เลี้ยงซ้ายแล้วเดินตรงไปอีกไม่ไกล จะเจอห้าง SOGO เขียวครับ ทางเข้ารถไฟฟ้าก็อยู่ใต้ตึกนี้แหละครับ แต่พวกเราไปเดินห้าง SOGO ก่อน เพราะทราบมาว่า ห้างนี้มี Shop รองเท้า  onitsuka tiger อยู่ครับ อยู่ที่ชั้น 5 ของตึก ตรงที่รถบัสมาจอด เป็นร้านชาบูเดียวกับที่เราไปกินมาวันแรกเลยครับ แต่คนละสาขา


     ที่ Shop onitsuka tiger ตรงนี้จะมีรุ่นให้เลือกค่อนข้างเยอะครับ เยอะกว่าที่ตลาดรองเท้ากงกวนมากครับ(ไปเดินมาวันถัดไป) แต่บาง Size ก็อาจจะไม่มีครับ ซื้อที่นี่ก็สามารถทำ Tax Refund ได้ด้วยครับ วันนี้สมาชิกจัดไปก่อน 2 คู่ เพราะยังไม่กล้าจัดเยอะ เพราะพรุ่งนี้เดี๋ยวเราไปดูกันอีกที่ตลาดกงกวน เห็นว่าที่นี่ถูกเหมือนกัน

ดูรองเท้ากันเสร็จ เรานั่งรถไฟไปเที่ยวต่อที่ ตลาดกลางคืนซือหลิน (Shilin Night Market) กันครับ
ตลาดกลางคืนซือหลิน (Shilin Night Market)

การเดินทาง
- นั่ง MRT มาลง ที่สถานี Jiantan , Exit 1 เดินตรงมาอีกนิดหนึงก็เจอครับ คนเยอะมากครับตลาดนี้



     ตลาดกลางคืนซือหลิน ของขายค่อนข้างเยอะมาก ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ของกิน อุปกรณ์เสริม พวกกล้อง มือ ถืออะไรพวกนี้ก็เห็นเยอะมากครับ เป็นตลาดที่น่าเดิน และน่ามาช๊อปปิ้งครับ มาตลาดนี้ตั้งใจจะมากิน 2 อย่าง คือน้ำมะระ ปั่นแล้วก็ไก่ทอด Hot star ครับ

     และแล้วก็เดินมาเจอร้านน้ำผลไม้ปั่น จริงๆ ตรงทางเข้ามีหลายร้านเลย แต่นึกว่าเดินมาด้านในจะเยอะ แต่โซนด้านในไม่ค่อยเจอ พอเจอร้านหนึงก็เลยจัดสั่งน้ำมะระปั่นมาชิมซะเลย มะระที่ไต้หวันจะเป็นลูกขาวๆ อวบๆ แลดูไม่ขมนะครับ พอได้ชิมคำแรก สำหรับผมกินได้ครับเพราะปกติเป็นคนชอบกินผักอยู่แล้ว แต่ใครกินผักไม่ได้อาจจะเหม็นๆ เขียนนิดๆ ครับ แต่ใครกินได้นี่บอกเลยว่ามีประโยชน์มากครับ

     จากนั้นพากันเดินหาร้านไก่ทอด Hot star เดินหาตั้งนานครับ กว่าจะเจอ มาถึงก็ต่อคิวรอซื้อ ขายดีจนทอดตามไม่ทัน ชินมันใหญ่ มาก อร่อยด้วยครับ สมกับที่ขายดีแหละครับ ราคาก็ไม่แพงชิ้นละประมาณ 70 TWD กินเสร็จก็พากันเดินทางกลับที่พักกันครับ นั่ง MRT ไปลงที่ ตลาด Ximen เลยครับ



     พอมาถึงย่านซีเหมิน ยังครับ เรายังไม่เข้าที่พัก เดินเล่นย่านวัยรุ่นแห่งนี้ต่อก่อนอีกซักหน่อย เดินไปเดินมา ไปเจอ ร้านไก่ทอด Hot star ครับ 555 ตรงย่านที่พักเราก็มีนิ ร้านใหญ่ด้วย ที่ไปเดินหาตั้งนานอยู่ตลาดกลางคืนซือหลิน นั่นคืออัลไร 555  เดินเที่ยวได้ซักพักก็กลับที่พัก นอนพักผ่อนกันดีกว่าครับ จบการเที่ยววันที่ 2 มาไต้หวัน 2 วันแรกก็ออกเที่ยวนอกเมืองกันทั้ง 2 วันเลย เดี๋ยวอีก 2วันที่เหลือเราจะอยู่เที่ยวในไทเปแล้วครับ ^^


มาถึงวันที่ 3 กันแล้ว 31/05/2015

     ตื่นมาเช้านี้ มองออกไปนอกหน้าต่างพบว่า มีรอยฝนตก ฟ้าก็ครึ้มๆ ใช่แล้วครับ จากที่ดูพยากรณ์อากาศมา วันนี้จะเป็นวันที่มีฝนตก และวันนี้จะมีสมาชิก 1 คนต้องเดินทางกลับก่อนครับ เพราะว่าจองตั๋วทีหลัง ขากลับไฟล์ทเดียวกันวันพรุ่งนี้มันราคาอัพ ก็เลยเลือกกลับเป็นวันนี้ไฟล์ทสี่โมงเย็นแทน  แต่ก็ยังมีเวลาเที่ยวด้วยกันอยู่ในช่วงเช้า ตื่นเช้ามาก็เหมือนเดิมครับหาอะไรรองท้องที่พักก่อนค่อยออกไปเที่ยว เช้านี้ออกเช้ากว่าปกติ มารอกินมื้อเช้าตั้งแต่ก่อน 7 โมง มื้อเช้าตั้งตอน 7 โมงก็นั่งเล่นรอกันไปก่อน  อิ่มท้องแล้วออกเดินทางไปที่เที่ยวที่แรกของเราเลยครับ

อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ค (Chiang Kai Shek Memorial Hall) 
     การเดินทางนั่ง MRT มาลงที่สถานี Chiang Kai Shek Memorial Hall ออกมาก็เจอเลยครับอยู่ติดสถานีรถไฟเลย


     สถานที่แห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงอดีตประธานาธิบดีเจียง ไคเช็ค ซึ่งเป็นประธานาธิบดี คนแรกของไต้หวัน พอเดินเข้ามาจะเจอลานกว้างๆ และจะเห็นอาคารใหญ่ๆ อยู่ทั้งฝั่งซ้ายและขวา ทั้ง 2 อาคารนี้คือ National Theater และ National Concert Hall ส่วนหอขาวๆ ตรงกลางก็คือ อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ค ครับ โดย ด้านล่างของตึกนี้ จะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงประวัติของเจียงไคเช็ค และความเป็นมาของพัฒนาการของประเทศไต้หวัน ใครอยากรู้ประวัติ เรื่องราวกว่าจะมาเป็นไต้หวัน ลองค้นข้อมูลดูเพิ่มเติมนะครับ ^^

     วันนี้พอมาถึงฟ้าครึ้มมากๆ ครับ ฝนเตรียมตกแล้ว พวกผมก็รีบเดินรีบถ่ายรูปกันเลย ที่นี่กว้างใหญ่กว่าที่คิดมากครับ มองลงไปตรงลานกว้าง เห็นคนเป็นเล็กๆ เหมือนมดเลย เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งที่ๆควร แวะมาอยู่นะครับถ้ามาเที่ยวไต้หวัน เพราะมาง่าย รถไฟฟ้าใต้ดินมาถึงเลย วันนี้คนมาเที่ยวก็ค่อนข้างเยอะเหมือนกัน กลุ่มคนไทยก็มากันเยอะครับ เดินเที่ยวได้ซักพักและแล้วฝนก็ตกลงมาจริงๆ เดี๋ยวไปที่อื่นต่อกันดีกว่าครับ


ตึกไทเป 101
การเดินทาง  นั่ง MRT มาลงที่ สถานี Taipei City Hall ในสถานีจะมีป้ายบอกชัดเจนเลยนะครับว่า ตึก Taipei 101 ต้องออกไปทางไหน ออกมาก็จะเจออาคารสูงเด่นเลยครับ ก็เดินมาตามอาคารได้เลย

             แต่ก่อนออกไปหาอะไรกินที่เซเว่นกันก่อนครับ ที่ไต้หวันจะมีเป็นพวกลูกชิ้น เต้าหู้ ก้อนเลือด ไข่ต้มใบชา ฯลฯ ขายครับ อยากได้อะไรก็ตักแล้วก็เอาไปให้เค้าคิดตังค์ครับ จะตกอันละประมาณ 10 TWD ครับ กินเสร็จก็เรียกว่าอิ่มเลยครับ เหมือนกินข้าวมื้อหนักๆ มื้อหนึงเลย เพราะมันน่ากินหลายอย่างก็เลยตักมาเยอะเลย ^^ อิ่มแล้วก็ไปเที่ยวกันต่อครับ

     เนื่องจากเรามาเที่ยวไต้หวันวันนี้ก็เป็นวันที่ 3 แล้ว แต่เรายังไม่ได้มาถ่ายรูปกับ Land Mark ของไต้หวันเลย ซึ่งก็คือตึกไทเป 101 นี่แหละครับ สมาชิกหนึ่งคนก็จะกลับวันนี้ ก็เลยต้องพามาแวะถ่ายรูปซะหน่อยครับ แต่ยังไม่ขึ้นไปเที่ยวบนตึก เนื่องด้วยเวลาไม่เยอะ ก็เลยว่าเดี๋ยวครั้งหน้าค่อยมาใหม่ รอบนี้อย่าพึ่งเก็บหมดเลย ฮ่าๆ เหลือที่ให้เที่ยวบ้าง เผื่อได้มาอีกรอบ


     ตึกไทเป 101 นี้เรียกได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจของคนไต้หวันเลยครับ เพราะสถาปนิกผู้ออกแบบก็เป็นชาวไต้หวันที่ไปล่ำเรียนจากเมืองนอกเมืองนามา เป็นผู้ออกแบบ ที่ชื่อตึกไทเป 101 นี้ ก็เพราะว่า มีทั้งหมด 101 ชั้นนั่นเอง และยังครองแชมป์ ตึกที่สูงที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 2547-2553 มีความสูง 509.2 เมตร ก่อนที่จะมาเสียแชมป์ให้กับตึก “เบิร์จคาลิฟา” ของเมืองดูไบ ในปี 2553 มีความสูงกว่า 828 เมตร

     ถ่ายรูปตึกเสร็จลงมาสถานี หาอะไรกินต่อครับ ระหว่างรอเวลา สถานี Taipei City Hall เหมือนเป็นสถานีที่เชื่อมกับห้างครับ ของขาย ร้านนั่งกินค่อนข้างเยอะครับ ระหว่างทางเดินออกไปตึก ไทเป 101
    กินเสร็จก็ได้เวลาไปส่งสามิก 1 คนที่ต้องเดินทางกลับก่อน โดยเดี๋ยวไปส่งที่สถานีรถบัสครับ ที่เราไปขึ้นรถบัสไปเย่หลิวเมื่อวานนั่นเองครับ เดี๋ยวขอข้ามตอนนี้ไปเลยแล้วกันนะครับ ^^  ส่งสมาชิกเสร็จ  เดินทางต่อไปเที่ยววัดหลงซาน  (Longshan) กันครับ

วัดหลงซาน  (Longshan) 
การเดินทาง
       มาง่ายๆ ครับนั่ง  MRT สายสีน้ำเงิน มาลงสถานี Longshan temple Exit 1 ออกมาแล้วเลี้ยวขวา เดินไปอีกประมาณ 180 เมตร ก็จะเจอครับ ใกล้ๆ สถานีเลย


     วัดหลงซาน ถือเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในไทเปเลยนะครับ พอเดินเข้ามาก็รู้สึกได้เลยว่าที่นี่เต็มไปด้วยผู้คนที่มีความเลื่อมใส ศรัทธา มากราบไหว้ ภายในวัดมีธูปให้หยิบไหว้ฟรีนะครับ ไม่ต้องพกมาเองก็ได้ และภายในวัดก็จะมีร้านเครื่องราง ให้ได้ซื้อมาเก็บไว้บูชา จะเป็นเครื่องราง ทางจีนๆ หน่อยครับ ผมเองก็ไม่ค่อยรู้จัก

     ส่วนบริเวณ ด้านหน้าของวัดจะเป็นเหมือนแหล่งที่ผู้สูงอายุเค้ามา ทำกิจกรรมกันนะครับ คือเยอะมากๆ  มีทั้งคนมาร้องเพลง มีทั้งตั้งวงกันเล่นหมากล้อม อะไรพวกนี้ครับ


     ไหว้พระเสร็จ มีช่วงว่างๆ อยู่ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ก่อนที่ช่วงเย็นๆ จะไปขึ้นเขาไปถ่ายรูป ก็คิดกันว่าจะไปไหนดีหว่า...สรุปกลับที่พักไปพักกันซักนิดก่อนดีกว่า แต่พอไปถึงย่านซีเหมิน ย่านที่พักของเรา ต้องถึงกับตื่นตาตื่นใจเลยเพราะว่าคนเยอะมากครับ เป็นครั้งแรกที่ได้มาเดินย่านนี้ตอนกลางวัน ปกติเราจะมาถึงค่อนข้างดึก  ก็จะได้เห็นแต่ตอนกลางคืน วันนี้เป็นวันอาทิตย์พอดี จะมีเหมือนเป็นตลาดทุกวันเสาร์ อาทิตย์นะครับ

     ย่านซีเหมินนี่ก็เป็นย่านไวรุ่นของไทเปเลยครับ พอๆ กับสยามบ้านเรานี่เอง วันนี้เป็นวันอาทิตย์วัยรุ่น คนมาเดินย่านนี้ก็เลยเยอะมากๆ ครับ เดินเสร็จก็กลับเข้าที่พัก ไปพักกัน รอช่วงเย็นออกเที่ยวต่อครับ


ไปถ่ายรูปตึกไทเป 101 ที่เขาเซี่ยงซาน (Elephant Mountain) 
     และแล้วก็ได้เวลาช่วงเย็นที่เราจะไปถ่ายรูปตึกไทเป 101 กันแล้ว ดีที่ช่วงเย็นนี้ฝนไม่ตกครับ แต่แถวที่พักดูครึ้มๆอยู่ แต่เราก็ตัดสินใจที่จะไปต่อครับ ฝนตกก็กลับ แค่นั้น 555 ง่ายๆ ครับ มาเที่ยวกันเอง แผนเปลี่ยนได้ตามเหมาะสม

     การเดินทาง นั่ง MRT มาลงที่สถานี Taipei City Hall แล้วก็เรียกแท็กซี่เอาเลยครับ เอารูปให้แท๊กซี่ดูเลยครับ แต่พวกผมคือมาตามรอยของพี่เบญ ILoveToGo ที่เค้ามากันนะครับ ตามคลิปนี้เลย
คลิกเพื่อซ่อนข้อความ



     ตอนเดินทางมาจากสถานี Taipei City Hall  มาเขาเซี่ยงซาน ค่อนข้าง งงๆ นิดหนึงครับ คือจะตามรอยการเดินทางในคลิปมา แต่ในคลิปไม่ได้บอกว่าออกประตูไหนของสถานี พวกผมโผล่ออกมา เฮ้ย ตรงนี้มันตรงไหน 555 บรรยากาศไม่เหมือนในคลิปเลย ก็เลยถามคนแถวนั้นว่า Xinyi Junior High School อยู่ตรงไหน เพราะทางขึ้นเขาจะเลี้ยวซ้ายตรงแยกหน้า Xinyi Junior High School ไปอีกไม่ไกล ปรากฏว่าถามคนแถวนั้น ดันไม่รู้จักอีกครับ 555


     ไม่เป็นไร ตัดสินใจเรียกแท็กซี่เลย เรียกคันแรก เหมือนเค้าคุยภาษาอังกฤษไม่ได้ เค้าเลยบอกไม่รู้จักครับ คือผมเอารูปให้ดูว่าจะไปที่นี่ พอมาเรียกอีกคัน พี่แกก็ OK ขึ้นได้เลย ทำท่าเหมือนจะรู้จักนะ แต่ขับไปซักพักเห็นวิทยุถามใครก็ไม่รู้ครับ จากนั้นไปจอดถามแท็กซี่อีกคัน แล้วก็กลับมาบอก โอเคๆ พวกผมก็นึกว่าคงรู้แล้ว ขับไปซักพักพี่แกจอดครับ และบอกว่าถึงแล้ว ผมนี่ เฮ้ย มันใช่ซะที่ไหนละตรงนี้ พวกผมไม่ลงครับ เอารูปให้ดูใหม่ มันตรงนี้ๆ พี่แกก็พาขับวนสวนตรงนั้นและพาขับขึ้นเขาไป ไปจอดตรงวัดอะไรซักอย่าง แล้วก็บอกให้เดินเข้าไปตรงนี้ พวกผมก็ว่ามันไม่ใช่นะ ก็ลงไปถามคนแถวนั้น เอารูปให้ดู เค้าก็เหมือนไม่รู้จัก แต่พี่แท็กซี่แกจะให้พวกผมลงตรงนี้ให้ได้เลย ตอนแรกก็ว่าจะไม่ลงครับ เพราะตอนนี้มันตรงไหนไม่รู้บนเขา ไม่ใช่ในเมือง แท็กซี่ก็ไม่ใช่ว่าจะขึ้นมาบ่อยๆ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจลงครับ เอาตรงๆ หัวเสียกับแท็กซี่คันนี้มาก สรุปคือไม่รู้จักใช่ไหม โครตเสียเวลาเลย ผมยิ่งกลัวแสงจะหมดก่อนถ่ายรูป โดนไปกับคันนี้ 200 TWD

     ดีที่มีแท็กซี่อีกคันมา ก็เลยเปิดรูป Xinyi Junior High School บอกว่าจะไปที่นี่ โอเคคันนี้รู้จัก (รู้จักจริงๆ ไม่เหมือนคันที่แล้วทำท่าเหมือนรู้จักแต่จริงๆ ไม่รู้จัก) พอไปถึงหน้า Xinyi Junior High School ก็เปิดรูปทางขึ้นเขาให้เค้าดูใหม่ บอกว่าจะไปที่นี่ เค้าก็เหมือนจะรู้จักนะ แต่เค้าก็ถามคนแถวนั้นเพื่อความชัวร์อีกทีว่าใช่ไหม ก็ใช่จริงๆ ครับ ส่งถึงบันใดทางขึ้นเลย มันห่างจาก Xinyi Junior High School ไม่ไกลเลยครับ จ่ายค่าแท็กซี่ไป 140 TWD ใครมาก็เรียกแท็กซี่มาเลยนะครับ ค่าแท็กซี่ไม่แพงหรอกครับที่นี่ มาหลายคนก็หารกันได้เลย แต่แอบเซ็งตรงแท๊กซี่คนแรกนิดหนึง

     พอถึงปุ๊ป ผมนี่รีบเดินขึ้นเลยครับ เดินขึ้นได้แป๊ปเดียว ไม่ไหวครับลมจับ 555 เหนื่อยมากเสื้อนี่เปียกเหงื่อเลย ก็เลยค่อยๆ ขึ้น โห เดินกว่าจะถึงข้างบนครับ ไกลเหมือนกัน ก็เดินขึ้นเขานี่หน่า ระหว่างทางก็จะมีจุดแวะให้ถ่ายรูปอยู่นะครับ แต่ให้เดินขึ้นไปบนๆ เลย จะเจอมุมที่ช่างภาพเค้าถ่ายกันครับ


     ผมไปถึงด้านบน ก็เจอว่า ช่างภาพเค้าตั้งขาตั้งกล้องรอกันหมดแล้ว แทบไม่มีที่เลย ผมก็ไปขอเบียดๆ เค้านิดหนึงครับ แต่พอเอากล้องตัวเองไปวาง แล้วมองกล้องคนรอบข้าง นี่ผมอยากจะเก็บกล้องผมเลย 555 คือกล้องคนอื่นเค้ากล้องมืออาชีพเลยครับ อุปกรณ์ต่างๆ ครบเลยทีเดียว ผมก็มือสมัครเล่นนะ ถ่ายเท่าที่ถ่ายได้ แหละครับ แค่แบกขาตั้งกล้องมาก็จะตายแล้ว ^^

     เย็นนี้รู้สึกว่าอากาศเป็นใจมากครับ เพราะช่วงกลางวัน ฝนตกๆ หยุดๆ ทั้งวัน แต่ตอนเย็นฝนไม่ตก รู้สึกว่าโชคดีมากครับ อย่างน้อยตั้งใจมาถ่ายก็ได้ถ่าย ถึงฟ้าจะไม่ค่อยเปิดก็ตาม วันนี้เป็นวันหยุดไฟในตึกไทเป 101 เลยไม่ค่อยเปิดเท่าไร ถ้าวันทำงานเราจะเห็นไฟเปิดเป็นช่องๆ ก็จะดูสวยไปอีกแบบครับ

     อ้อ ฝากนิดหนึงสำหรับใครที่จะขึ้นมาถ่ายรูป ให้พกยาทากันยุงมาด้วยครับ เพราะยุงบนเขาเยอะมาก ตัวใหญ่ด้วยครับ แล้วก็พกไฟฉายมาด้วยก็ดีครับ แต่จริงๆ มีไฟเปิดสว่างตามทางอยู่ครับ ด้านบนและระหว่างทางก็มีห้องน้ำให้เข้าด้วย ส่วนน้ำกับของกิน ก็พกมาด้วยก็ดีครับ ด้านบนไม่มีขาย เพราะเดินขึ้นเขามันจะเหนื่อยและหิวน้ำพอสมควรครับ

โอเค ถ่ายรูปจนพอใจแล้ว ได้รูปมาเท่าที่เห็นเลยนะครับ อาจจะไม่ค่อยสวยเท่าไรนะครับ ^^
     ขากลับนั่งแท็กซี่กลับครับ ง่ายดี ให้ไปส่งที่ MRT สถานี Taipei City Hall เลยประมาณ 100 TWD ครับ ระหว่างนั่งรถมาผมก็หยิบแผนที่รถไฟมาแล้วชี้ให้พี่คนขับดูว่าจะลงสถานีนี้นะ แกก็ประมาณว่าทำไมไม่เอาให้ดูแต่แรก 555 แกออกแนวฮาๆ นะ ผมก็แอบนึกในใจ ตกลงที่ตรูบอกตอนขึ้นรถนี่แกเข้าใจไหมว่าจะไปที่ไหน 555 แต่สุดท้ายก็มาส่งถึงที่ครับ ไม่มีพาหลง ใครมาไทเป ก็นั่งไปเลยครับแท็กซี่มันไม่แพงนะ หารกันตกคนละ 30 40 บาท ไทยเองครับ ไม่ต้องเดินให้เหนื่อย เพราะเดินมันจะไกลมาก


ตลาดกลางคืนกงก่วน (Gongguan Night Market) 

ไปดูรองเท้ากันต่อที่ ตลาดกงกวนครับ
การเดินทาง นั่ง MRT มาลงที่สถานี Gongguan , Exit 4

     เมื่อคืนไป Shop Onitsuka tiger ที่ห้าง SOGO มา แต่ยังไม่ได้ซื้อเพราะ รอมาดูที่ตลาดกงกวนก่อนนี่แหละครับ อ่านริวิวมาเห็นบอกว่าที่นี่ถูก แต่พอมาเดินดูจริงๆ มีรุ่นให้เลือกไม่ค่อยเยอะครับ Shop Onitsuka tiger เลยมีรุ่นเยอะกว่ามาก เดินดูหลายร้านก็เหมือนๆ กันครับถ้า Onitsuka tiger รุ่นจะไม่ค่อยเยอะ ราคาก็แทบไม่ต่างกันมากจาก  Shop Onitsuka tiger ที่ตลาดกงกวน ร้านที่ถามคือราคาจะขอ Tax Refund ไม่ได้ แต่ที่  Shop Onitsuka tiger จะขอ Tax Refund คืนได้ 5% พอเปรียบเทียบราคาแล้วพอๆ กันครับ สรุปว่ามาที่ตลาดกงกวนก็เลยไม่ได้รองเท้าครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้กลับไปซื้อที่ Shop Onitsuka tiger ดีกว่า เพราะมีรุ่นให้เลือกเยอะกว่าครับ


มาถึงวันสุดท้ายของทริปแล้วครับ 01/06/2015

     วันนี้ตื่นเก็บของจัดกระเป๋ากันแต่เช้าครับ แล้วก็มาเช็คเอาท์ ที่พักเลย แต่เอากระเป๋าฝากไว้ที่พักก่อน เพราะเราจะออกไปเที่ยวกันอีกที่ครับ กลัวจะกลับมาไม่ทันก่อนเวลาเช็คเอาท์ ก็เลยเช็คเอาท์รอไว้เลย

ตลาดปลาไทเป
     เช้านี้เราจะไปเที่ยวที่ตลาดปลาไทเป เป็นที่สุดท้ายก่อนกลับครับ เห็นว่ามีอาหารทะเลสดๆ ราคาไม่แพง มีขาปูยักษ์ด้วยนะครับ ฮ่าๆ อารมณ์แบบญี่ปุ่นเลยละครับ

การเดินทาง 
     นั่ง MRT มาลงที่สถานี  Zhongshan Junior High School ออกมาก็เรียกแท็กซี่เอาเลยนะครับ ค่าแท็กซี่ประมาณ 95 TWD ไม่ต้องเดินหรอกนะครับ เพราะค่อนข้างไกลครับ ห่างจากสถานีประมาณ กิโลกว่าๆ

พอมาถึงตลาดปลา ที่นี่จะแบ่งเป็นหลายโซนนะครับ 
     - โซนของสด จะมีพวกกุ้ง หอย ปู ปลา ขังกันเป็นบ่อๆ ก็เดินเข้าไปถ่ายรูปได้นะครับ แต่ก็อย่าไปเดินจนเกะกะ พนักงานเค้าทำงานครับ
     - โซนซีฟู้ดบาร์  , ซูชิบาร์ , ตรงนี้ก็นั่งทานกันได้เลยนะครับ
     - โซนซุปเปอร์มาเก็ต ตรงนี้จะมีของขายเยอะครับ พวกของสด เนื้อต่างๆ เครื่องดื่มต่างๆ  แล้วก็จะมีพวกอาหารสำเร็จรูปขายด้วย พวกอาหารญี่ปุ่น ซูชิ ข้าวหน้าปลา อาหารทะเลนึ่ง ลวก เค้าพึ่งทำออกมาใหม่ๆ เลยครับ พวกผมไปตอนเช้าๆ พอดี โดยเฉพาะ ขาปูยักษ์ นี่ทำออกมาสดๆ เลยครับ พวกผมไปยืนส่องตอนเค้าทำ พอเค้าเอามาวางชั้นปุ๊ป ก็ซื้อมาเลย หวานสดมากๆ

     ตรงประตูด้านหน้า เค้าจะมีโต๊ะไว้ให้นะครับ เป็นแบบยืนกิน มีอุปกรณ์ พวกตะเกียบเตรียมไว้ให้ พวกผมก็พากันซื้ออกมากินกันตรงด้านหน้าเลยครับ เป็นอีก หนึ่งมื้อในไต้หวันที่รู้สึกฟินและประทับใจกับอาหารมากครับ ใครพอมีเวลาแวะมาเดินตลาดปลา กินของทะเลสดๆ ราคาไม่แพงนะครับ

      ขากลับ พากันแวะไป Shop onitsuka tiger ห้าง SOGO ตรง MRT,  Zhongxiao Fuxing Station  อีกรอบครับ พากันรีบซื้อรีบกลับ เพราะต้องทำเวลาละ เดี๋ยวจะไปสนามบินไม่ทัน จากนั้นก็กลับที่พักไปเก็บกระเป๋าแล้วก็รีบเดินทางกลับสนามบินกันเลยครับ

     ซื้อแล้วนำใบเสร็จที่ทางร้านให้ไปทำ Tax Refund ที่ชั่น 9 นะครับ ถ้าจำไม่ผิด ถาม ที่ร้านอีกทีก็ได้ครับว่าชั้นไหน ตอนซื้อก็บอกเค้าด้วยว่าจะทำ Tax Refund


การเดินทางกลับสนามบิน
     1.นั่ง MRT มาลงที่สถานี Taipei City Hall แล้วเดินมาตามทางออก M5
     2.จากนั้นก็สังเกตป้าย Taipei West Bus Station ตามป้ายไปได้เลย แล้วไปออกทางออก Z3 นะครับ จะโผล่ออกไปตรงอาหารผู้โดยสารสำหรับซื้อตั๋วรถบัสไปสนามบินเลยครับ
     3.จากนั้นก็นั่งรถบัสสาย 1819 กลับสนาบินครับ ค่ารถ 125 TWD นั่งรถประมาณ เกือบ 45 นาที – 1 ชั่วโมง ครับ(แล้วแต่สภาพการจราจรนะครับ)

     พอรถบัสมาจอดที่สนามบินเถาหยวน  Terminal 1 ก็พากันรีบเดินไปเช็คอินเลยครับ ไปถึงยังไม่รู้ว่าเคาน์เตอร์ อยู่ตรงไหน ก็ไปดูที่จอก่อนนะครับ ว่าเที่ยวบินของเรา ต้องไปที่แถวเช็คอินไหน มันจะมีบอกที่จออยู่นะครับ สำหรับ TigerAir นี้ก็จะเช็คอิน ที่เคาน์เตอร์ แถวที่ 2 ครับ พนักงานภาคพื้น ที่นี่จะเป็นคนของ China Airline ครับ ที่คอยเช็คอินให้เรา Boarding Pass ที่ได้มาก็เป็นโลโก้ของ  China Airline เช่นเดียวกันครับ ตอนโหลดกระเป๋า น้ำหนักเกินจากที่ซื้อไว้ประมาณ 2 โลกว่าๆ พนักงานก็ ใจดี หยวนๆ ให้ครับ

     โหลดกระเป๋าเช็คอินเสร็จ มาถึงจุด ตรวจความปลอดภัย จนท ที่นี่ ตรวจละเอียดมาก ที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอเลย สแกนแล้วมีอะไรน่าสงสัยขอค้นหมด ตรงนี้ผมจะมีปัญหานิดหนึงเพราะผมดันพกขาตั้งกล้องจะถือขึ้นเครื่องด้วย แต่ จนท  ไม่อนุญาตครับ เหมือนขนาดเกินกว่าที่เค้ากำหนด ต้องเอากลับไปโหลดที่เคาน์เตอร์ เช็คอินใหม่อีกรอบ ตอนนี้ผมเริ่มกังวล ละว่าจะโดนชาร์ทค่าโหลดเพิ่มรึป่าว เพราะแค่โหลดกระเป๋าตอนแรก นน ก็เกินแล้ว แต่พอเอาไปโหลด จนท ก็โหลดให้เลยครับ ไม่ได้ชาร์ทเพิ่ม รู้สึกขอบคุณ จนท มากๆ ครับ ^^


     พอผ่าน จุดตรวจ ตม. ต่างๆ เสร็จ มารอหน้าเกท เจอประกาศเปลี่ยน เกท จากชั้นบน ลงมาชั้นล่าง และตั้งขึ้นรถบัสเพื่อไปขึ้นเครื่องครับ ตอนแรกเหมือนจะมาเทียบงวงที่อาคารเลย แต่สงสัยไม่รู้มีปัญหาอะไร ก็เลยได้ขึ้นบัส ไปที่เครื่องแทน เครื่องก็ออกค่อนข้างตรงเวลาครับ ตอนอยู่บนเครื่องนี่ เงินเหลือเท่าไรเอามาซื้อของกินบนเครื่องให้หมดเลยครับ ฮ่าๆ กำเหรียญมานับซื้อข้าวกันเลยทีเดียว ใช้ให้หมดจะได้ไม่ต้องไปแลกคืน

     เครื่องลงที่สนามบินดอนเมือง ประมาณ 18.30 น. ครับ ถึงก่อนเวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็แยกย้ายเดินทางกลับบ้าน โดยปลอดภัยกันทุกคนครับ เป็นอันจบทริปแล้ว ขอบคุณทุกๆค น ที่อ่านมาจนถึงตรงนี้นะครับ พบกันใหม่รีวิวหน้าครับ ^^


สำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดของทริปนี้ ดังนี้ครับ

     1.    ค่าตั๋วไปกลับ(รวมภาษีแล้ว)                                 2,050    บาท
     2.    ค่าน้ำหนักกระเป๋าโหลด 10 โล ไปกลับ                   667      บาท   (ซื้อ 30 โล แบ่งกันคนละ 10 โล)
     3.    ค่าที่พัก Meander Taipei Hostel  3 คืน                 2,752    บาท/คน
     4.    แลกเงินไป 7000 TWD (เรท 1 TWD/1.09 บาท) 7,630    บาท ***ใช้หมดพอดี

ใช้จ่ายไปทั้งหมดกับการ กิน เที่ยว ที่พัก และเดินทาง ทั้งหมด 13,099 บาท

ไม่รวมช๊อปส่วนตัว นะครับ เพราะช๊อปพวกรองเท้าก็ใช้บัตรรูดเอาเลย

           ทริปนี้อาจจะไม่ได้ลงรายละเอียดแต่ละค่าใช้จ่ายมาสรุปให้ดูนะครับ แต่หลักๆ ค่าเข้าสถานที่หรือค่ารถอะไร แต่ละช่วง จะมีบอกไว้ในรีวิวแล้วครับ ทริปนี้ซื้อของกินตามตลาดกันเยอะมากครับ เดี๋ยวคนนั้นเลี้ยงอันนั้น คนนี้เลี้ยงอันนี้  ก็สลับๆ กัน แต่เอาเป็นว่า ใช้เงินสดที่แลกไปหมดกันพอดี กับการกิน เที่ยว และเดินทางในไต้หวันครับ มาหมดเอาจริงๆ ตอนขึ้นเครื่องกลับนี่แหละครับ เงินเหลือเท่าไรก็ซื้อของบนเครื่องกินให้หมดเลย

มาพูดถึงมุมมองต่างๆ สำหรับการไปเที่ยวไต้หวันในครั้งนี้ซักหน่อยนะครับ

เรื่องการเดินทาง
     เป็นอีกประเทศที่มีการเดินทางที่ค่อนข้างสะดวกมากๆ ครับ ในไทเปเองก็มีทั้งรถไฟใต้ดิน ที่ค่อนข้างครอบคลุมทั้งเมือง การเดินทางจากสนามบิน เข้าเมือง ก็สะดวก มีทั้งรถไฟความเร็วสูง และมาต่อรถบัสเข้าเมือง หรือจะนั่งรถบัสตรงยาวจากสนามบินเข้าเมืองเลยก็ได้ สะดวกดีครับ
     ส่วนการเดินทางออกต่างจังหวัด ไปที่เที่ยวที่อยู่ เมืองอื่นๆ ก็มีทั้งเดินทางโดยรถไฟความเร็วสูง และรถบัสเองก็สะดวกมากๆ เช่นกัน
           
     อ้อ แล้วก็เรื่อง Taxi ที่ไต้หวัน ขึ้นได้เลยนะครับ ไม่ต้องกลัวจะโดนโกง ราคาก็ไม่แพงด้วยครับ ไม่ต้องไปเดินไกลๆ ให้เหนื่อย  ถ้าใครไปไต้หวันก็ซื้อบัตร EasyCard ไว้ใช้ได้เลยครับ เป็นเหมือนบัตรเติมเงิน เอาไว้แตะจ่ายเงิน ตอนขึ้นรถไฟรถบัส หรือจ่ายเงินตามร้านสะดวกซื้อได้ครับ

เรื่องอาหารการกิน
     ไต้หวันเป็นประเทศที่เราได้กินแบบจัดเต็มมากครับ เพราะของไต้หวันราคาไม่แพง และของกินก็หลากหลาย ร้านอาหารยอดฮิตในไต้หวันน่าจะเป็นร้านสุกี้ ชาบูครับ มีเยอะมากๆ ใครไปต้องไปลองชิมดูนะครับ แต่แนะนำว่าให้พกน้ำจิ้งจากไทยไปด้วย เพราะที่ไต้หวันเค้าจะเป็นแบบผสมน้ำจิ้มกันเองเอง ถ้าเราปรุงไม่อร่อยก็จบเลยครับ ฮ่าๆ
     เรื่องอาหารที่ไต้หวัน ผมรู้สึกว่าอาหารจะออกไปทางอาหารญี่ปุ่นซะเยอะเลยครับ ในไทเปจะเห็นพวกร้านซูชิ ข้าวหน้าปลาดิบ อะไรพวกนี้เยอะครับ เหมือนที่ญี่ปุ่นเลย ราคาก็ไม่แพง ยิ่งตอนไปตลาดปลาไทเปนะครับ นึกว่ากำลังเดินอยู่ในตลาดปลา ที่ญี่ปุ่น พวกอาหารอะไรต่างๆ นี่เหมือนที่ญี่ปุ่นเป๊ะเลยครับ


ประเทศที่สามารถท่องเที่ยวได้อย่างปลอดภัย

           ไต้หวันเป็นประเทศที่เรารู้สึกว่าเราสามารถเที่ยวได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องระวังตัวหรือวิตกกังวลอะไรมาก ไม่ต้องกลัวว่าขึ้นแท๊กซี่จะโดนโกงไหม ซื้อของจะโดนโกงไหม แต่เอาจริงๆ ก็อาจจะมีบ้าง แต่โดยรวมแล้วคือโอเคมาก รู้สึกว่าเราสามารถท่องเที่ยวได้อย่างสบายใจ

บ้านเมืองสะอาด ผู้คนเป็นระเบียบ
           คล้ายๆ กับญี่ปุ่นมากๆ ตรงนี้อ่านรีวิวหลายคนค่อนข้างจะพูดไปในเสียงเดียวกันครับ และจากที่ได้ไปสัมผัสมาก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ในเรื่องผู้คนเป็นระเบียบนี้ผมว่าบางทีเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราท่องเที่ยวได้อย่างสุนทรีมากขึ้นนะครับ เพราะเราไม่ต้องเจอเรื่องอะไรที่จะมาทำให้เราหงุดหงิดจากการท่องเที่ยว เช่นการแซงคิว คนโหวกแหวกโวยวาย อะไรประมาณนี้

รองเท้า Onitsuka tiger 
     เป็นสินค้ายอดฮิต ของฝากหิ้ว รับหิ้ว รับพรี เลยนะครับ คนไทยมาชอบมาซื้อ เพราะหลายๆ คนบอกว่าถูกครับ แต่คนไต้หวันจริงๆ จะแทบไม่เห็นใส่รองเท้า Onitsuka tiger กันเลยครับ วัยรุ่นไต้หวันจะฮิตใส่ Nike เลยอันดับหนึ่ง เห็นใส่เยอะมาก Shop ก็เยอะ รองลงมาก็เป็นรองเท้า Adidas อันนี้ก็เยอะไม่แพ้กันเลย

     Onitsuka tiger ที่ถูกมากๆ จริงๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นรุ่นเก่าๆ ที่ตกรุ่นไปแล้วครับเท่าที่เห็น เพราะรุ่นใหม่ๆ ก็ไม่ได้ถูกมาก แต่ก็ยังถูกกว่าไทยอยู่ ขอคืนภาษีได้อีก 5% ก็ไอเคครับ

     หลายๆ คนที่มาไต้หวันแล้ว บอกว่าไต้หวันเป็นน้องญี่ปุ่นเลย อันนี้ผมเห็นด้วยมากๆ ครับ เพราะไต้หวันมีทั้งรถไฟความเร็วสูง และในเรื่องของอาหาร หลายๆ อย่างก็เหมือนกับที่ญี่ปุ่นเลยครับ อีกอย่างเป็นเมืองที่สะอาด และผู้คนก็เป็นระเบียบด้วยครับ จึงทำให้หลายๆ ครั้งรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในประเทศญี่ปุ่นเลย เพราะได้บรรยากาศของญี่ปุ่นมากๆ


โอเค จบแล้วครับ สำหรับรีวิวทริปไต้หวัน 4 วัน 3 คืน 28 พ.ค. – 1 ก.ค 2558
ติดตามรีวิวกันได้ใหม่ทริปหน้านะครับ และสามารถติตาม 
เพจผมได้ที่ Fanpage : https://www.facebook.com/MJourneyPrabin






จบลงไปแล้วกับรีวิวการท่องเที่ยวเกาหลีจากคุณเจ้าของกระทู้ "Review ทริปวัยรุ่นพาเที่ยว “ไต้หวัน” ด้วยตัวเองครั้งแรก ไม่ยาก และ ไม่ต้องใช้งบเยอะ"  จากยูเซอร์ "Ochin_Mchin" ซึ่งผมก็ออกความเห็นอะไรอื่นไม่ได้เลยนอกจาก "รูปสวย" เพราะผมยังไม่ได้อ่านเลย  ถ้ากลับมาอ่านเมื่อไหร่ผมจะกลับมาอีดิดบทความใหม่อีกทีครับ

ความคิดเห็น